Sunday, December 10, 2006

Lock, Stock And Two Smoking Barrels (สี่เลือดบ้า มือใหม่หัดปล้น)



หนังเรื่องแรกของ กาย ริชชี่ ที่สร้างชื่อเสียงให้เจ้าตัว ก่อนที่จะมาสร้างหนังแนวคล้ายๆกัน เรื่อง Snatch หนัง Lock, Stock and Two Smoking Berrels เป็นหนังแนวตลกร้าย ที่เดินเรื่องได้อย่างน่าสนใจ มุมมองของหนังเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งโดยส่วนตัวผมได้ดูหนังเรื่อง Snatch ก่อนจะมาดูหนังเรื่องนี้ เลยทำให้รู้สึกว่า ผู้กำกับมีแนวทางและ Style ที่เป็นตัวของตัวเองมาก

เรื่องราวว่าด้วย 4 หนุ่มเพื่อนรักซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเซียนเล่นไพ่ อยากจะหาทางรวย จึงรวบรวมเงิน 100000 ปอนด์ ไปขอเล่นไพ่กับเจ้าพ่อมาเฟีย ผลก็คือติดหนี้กลับมาอีก 500000 ปอนด์ และต้องหามาใช้คืนให้ได้ภายใน 7 วัน เรื่องราวที่แสนวุ่นวายจึงเกิดขึ้น

จุดเริ่มต้นก็คือหนึ่งในสี่เพื่อนรักไปได้ยินข้างบ้านคุยกันในเรื่องการวางแผนปล้นที่ผลิตกัญชา ทำให้เกิดแผนที่จะปล้นเงินและกัญชาต่อจากแก๊งโจรนั้น จุดนี่เองที่ทำให้เรื่องราวแบบงูกินหางเกิดขึ้น ที่ว่างูกินหางจะเป็นอย่างไรต้องลองไปติดตามดูกันเองครับ เพราะถ้าเล่าตรงนี้คงจะต้องใช้พื้นที่เล่าเป็นหน้าเลยครับ

แต่ในตอนจบหนังก็แสดงใช้เห็นว่า (ไม่รู้ผมเห็นคนเดียวหรือเปล่า)การรวยทางลัดหรือการได้อะไรมาง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ แต่โอกาสมีให้เราเสมอ เพียงแค่เราจะมองมันเห็นหรือเปล่าเท่านั้นเอง

ในหนังเรื่องนี่ที่ผมชอบมากๆ คงเป็น Style ของหนังที่มุมกล้องแตกต่างไปจากหนัง Hollywood ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ที่สำคัญแสงและ Soundtrack ทำให้อารมณ์ขอหนังสื่อออกมาได้มากขึ้นครับ

นักแสดงนำที่เรารู้จักก็คือ Jason Statham จากเรื่อง Transporter นักแสดงชาวอังกฤษคนนี้ผมออกจะชอบ เวลาที่เค๊าเล่นในบทแบบนี้ครับ แถมด้วยอีกคนคือ Vinny Jones ที่คนที่ดูบอลรุ่นเก่าๆ คงรู้จักกันดี สำหรับขาโหดคนนี้

สรุปได้ว่าเรื่องนี้สำหรับผมเป็นหนังขึ้นหิ้งอีกเรื่องครับ ไม่ว่าในแง่ของเรื่องราว และแสง สี เสียง ในตัวหนังครับ ที่สำคัญสำเนียงอังกฤษตลอดเรื่องครับ

Saturday, December 9, 2006

Pirates of the Caribbean: Dead Man's Chest (สงครามปีศาจโจรสลัดสยองโลก)



การกลับมาอีกครั้งของกับตันแจ็ค สแปร์โรว์ (จอห์นนี้ เด็ปป์) สุดยอดโจรสลัดที่มีนิสัยแปลกๆ ที่อาจจะเป็นโจรสลัดที่เก่งที่สุดและห่วยที่สุดในคนๆเดียวกันเลยก็ได้ การกลับมาคราวนี้กับตันของเราต้องแก้คำสาป (จริงๆแล้วเป็นคำสัญญาที่เคยให้ไว้)ของ เดวี่ โจนส์เจ้าแห่งมหาสมุทร กับตันเรือฟลายอิ้ง ดัชแมน ซึ่งถ้าแจ็ค หาทางถอนคำสาปไม่ได้ ก็จะต้องเป็นทาสของ เดวี่ โจน ไปตลอดกาล ซึ่งทางเดียวที่จะแก้ไขได้ก็คือ การเอาหีบที่เก็บหัวใจของเดวี่ โจนส์ มาเป็นเครื่องต่อรองนั่นเอง (เป็นที่มาของชื่อตอน Dead Man's Chest)

ในขณะเดียวกัน ลอร์ด คัทเลอร์ เบ็คเก็ตต์ ก็ต้องการหีบนั่นเหมือนกัน เพื่อต้องการที่จะครอบครองมหาสมุทร ซึ่งเรื่องนี้เองก็เป้นเหตุให้ บิล เทอร์เนอร์ (ออร์แลโด้ บลูม) และ อลิซเบธ สวอนน์ (เคีบร่า ไนท์ลี่ย์ ขวัญใจของผม) ที่กำลังจะแต่งงานกัน โดนยัดเยียดโทษประหารเนื่องจากครั้งที่แล้วเป็นคนที่ทำให้ แจ็ค สแปร์โลว์หนีไปได้ ทางแก้ไขก็คือ ต้องไปนำเข็มทิศที่ติดตัว แจ็ค กับมาให้ได้ เพราะเข็มทิศนี้เป็นสิ่งที่ใช้บอกที่ซ่อนของหีบที่ทุกคนต้องการนั้นเอง

เนื้อเรื่องก็ดูสนุกไม่เครียด ไปเรื่อยๆ ในบางครั้งรู้สึกเหมือนดูบ้านผีปอปบ้านเรา เพราะมีฉากการวิ่งหนีเยอะเหลือเกิน ซึ่งโดยรวมก็ดูได้เรื่อยๆ ช่วงที่ตื่นเต้น จะไปอยู่ในช่วงที่ใช้ Special Effect มากกว่า โดยเฉพาะในตอนที่ คราเค่น (ปลาหมึกยักษ์) ออกมาทำร้ายเรือแต่ละครั้ง

ในเรื่องเพิ่มความเป็น Drama ตรงที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่า อลิซเบธ นางเอกของเราจะเริ่มมีใจให้ แจ็ค เหมือนกัน ซึ่งภาคต่อไปอาจจะเฉลยออกมาว่า นางเอกของเราจะเลือกใคร

โดยส่วนตัวผมว่าในภาคนี้ แจ็ค สแปร์โรว์ ออกจะเพี้ยนมากไปหน่อยนึงในความคิดของผมนะ แต่ภาพรวมก็ยังคงทำได้ดี โดยจอห์นนี่ เด็ปป์ในบทแจ็ค สามารถดึงความเด่นจากตัวละครอื่นๆ มาได้โดยตลอด ยังคงทำได้ดีครับ สำหรับเด็ปป์

หนังเรื่องนี้เหมาะจะเป็นหนังที่ดูเพื่อความบันเทิงในวันหยุดครับ แต่ขอบอกว่าอาจจะค้างคานิดๆ ในตอนจบ เพราะเราต้องติดตามต่อ ภาคหน้าครับ...

Tuesday, December 5, 2006

United 93



หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ชวนให้ผมย้อนไปนึกถึงเหตุการณ์ 9/11 ที่เมื่อ 5 ปีก่อน ตัวผมเองก็ติดตามหน้าจอทาง CNN อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเวลานั้นคงไม่มีใครเชื่อว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้

หนังว่าด้วยเรื่องของหนึ่งในเครื่องบินที่ถูก Hijack ในเหตุการณ์ 9/11 โดยเล่าเรื่องตั้งแต่เหตุการณ์ก่อนขึ้นเครื่อง ช่วงเวลาที่โดน Hijack การต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด ไปจนถึงจุดจบของ United 93 บทสรุปของหนังพวกเราคงรู้กันจากชีวิตจริงอยู่แล้ว

ตัวหนังเล่าเรื่องได้ดีไม่ยืดยื้อ ผมเข้าใจว่าพยายามทำตามเหตุการณ์และเวลาที่เกิดขึ้นจริง ในเหตุการณ์นั้น อาจจะไม่ได้นำแสดงโดยนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ผมว่าตัวหนังทำได้ดีจนทำให้เราต้องติดตามตลอดเวลา

สิ่งที่ผมชอบในหนังคือ หนังไม่ได้ตัดสินว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด ทั้งฝ่ายผู้ก่อการร้ายที่เชื่อในอุดมการณ์ของตัวเอง และฝ่ายผู้โดยการที่สู้แบบสุดชีวิตเพื่อที่ต้องการจะมีชีวิตกลับไปหาคนที่ตัวเองรัก ต่างฝ่ายต่างทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูก ซึ่งมองกลับมาที่ความเป็นจริง โลกเราที่วุ่นวายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพียงเพราะว่าเรา "เชื่อ" ในสิ่งที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง

ฉากที่ทั้งสองฝ่ายสู้กันและพยายามฝ่าเข้าไปในห้องนักบิน ทำให้ผมถึงกับอึ้งในอารมณ์ที่หนังสื่อออกมา เป็นเป็นภาพของการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดและการต่อสู้จนตัวตายเพื่อความเชื่อและอุดมาการณ์ของตัวเอง ฉากนี้บอกได้ว่าสุดยอดครับ

โลกของเราคงมีความวุ่นวายน้อยลงถ้าเรายอมลดการเอารัดเอาเปรียบกัน ลดความเห็นแก่ตัวลง ทำให้ทุกคนเสมอภาค และให้ความรักแก่กัน แล้วความเชื่อการทำลายล้างอีกผ่ายที่อุดมการณ์ไม่ตรงกันคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ

Monday, December 4, 2006

My Little Bride (จับยายตัวจุ้น มาแต่งงาน)



หนังเรื่องนี้ผมดูผ่านๆมาทาง Cable TV หลายๆ ครั้งคิดว่าจะหามาดูซักวันเพราะดูแล้น่ารักดี และแล้วผมก็ได้มาจาก Bit อีกเช่นเคยเป็นครับ

โบยุน (มูน กินยัง)นักเรียนมัธยมสาวกำลังวุ่นใจกับการสอบเข้ามหาลัย เธอไปหลงรักนักเบสบอลหนุ่มสุดหล่อประจำโรงเรียนตามประสาเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป แต่แล้ววันหนึ่ง คุณปู่ของเธอก็สั่งให้เธอแต่งงานกับ ซังมิน (คิม แรวอน)หนุ่มมหาลัยรูปหล่อที่เป็นหลานของเพื่อนคุณปู่ที่เคยร่วมรบมาด้วยกัน และคุณปู่ได้สัญญาว่าจะให้ลูกของทั้งสองแต่งงานกัน แต่รุ่นลูกของทั้งคุณปู่และเพื่อนคุณปู่ดันเป็นชายทั้งคู่ คำสัญญาดังกล่าวจึงตกมาถึงรุ่นหลาน ทำให้เรื่องราวมาตกที่หนุ่มสาวทั้งสองคนนี้

บูน กินยัง ทำได้ดีในบทของสาวสดใสวัย 16 ที่ทำให้ผมหลงรักได้ไม่ยากในความน่ารักของเธอ ส่วนคิม เวรอน ก็ทำได้ดีในบทของเค๊า ผมว่าทำได้ถึงเหมือนกันในบทที่ต้องแสดงออกถึงความอดทนในการที่จะรอคอยความรักหรือรอให้ความรักเบ่งบานในใจใครซักคน

สิ่งที่ขัดๆ สำหรับผมคือฉากตอนจบในห้องประชุมของโรงเรียน ออกจะขัดๆกับความเป็นจริงที่จะเป็นไปได้ ลองหามาดูกันเองละกันครับ ในช่วงนี้ไม่อยากจะเฉลย ให้พิจารณากันเองดีกว่า

ความประทับใจเรื่องนี้เป็นซึ่งการตีความส่วนตัว อยู่ที่ความรู้สึกของพระเอกของเรา ซึ่งอยู่ในฐานะหนุ่มที่มีวุฒิภาวะมากกว่าและเข้าใจหัวใจตัวเองมากกว่า และเค๊าพบว่าเค๊ารักผู้หญิงคนนี้(น่าจะตั้งแต่เด็กๆ หนังพยายามสื่อแบบนั้น)แต่ต้องรอให้ความรักในหัวใจของอีกฝ่ายเบ่งบานแม้จะต้องอดทนรอนานขนาดไหน การรอคอยแบบนี้แม้จะดูเพ้อฝันแต่ก็สวยงามและในชีวิตจริงอาจไม่สมหวังเหมือนในฝันก็ตาม แต่สำหรับหนังเรื่องนี้การรอคอยของพระเอกของเราคุ้มค่ากับการรอคอยครับ

Sunday, December 3, 2006

Noodle Boxer (แสบสนิท ศิษย์ส่ายหน้า)



แค่เห็นหน้าหนังเรื่องนี้ก็คงเดาได้ว่าเนื้อหาหนังจะเป็นแบบไหน สำหรับผมหนังเรื่องนี้เป็น Comedy แบบมีโรแมนติกนิดๆ ใจจริงไม่ได้คิดจะไปดูหรอก พอดีเมื่อคืนก่อนนอนมีโอกาสได้ดูโฆษณาของหนังเรื่องนี้ปรากฎว่ามุขฮามากครับเลยตัดสินใจไปดู ประจวบกับไปกับน้องคนนึงที่อยากเห็นรอยยิ้มของเค๊าเลยคิดว่าเรื่องนี้น่าจะเหมาะ

เรื่องราวว่าด้วยนายสนิท(แดน)พ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นรสเด็ดที่มีความฝันอยากเป็นนักมวยตั้งแต่เด็ก แต่ไปๆมาๆ ชกไม่เคยชนะสักครั้ง แต่นายสนิทนี่ดันมีแฟนสวยสวยสุดอิ๋มชื่อ สวย(วีเจ จ๋า)รักแล้วต้องแสดงออก แต่เหตุการณ์ต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นไปง่ายๆ เมื่อนายสนิทของเรามีเพื่อนอีกคนที่เป็นคู่แข่งทั้งในเรื่องของมวย และในเรื่องของหัวใจ ชื่อนายสิน ที่สำคัญนายสินคนนี้ มีดีกว่าพระเอกของเราทุกอย่าง ทั้งในเรื่องของฝีมือมวยและฐานะ ทำให้เรื่องราววุ่นๆ เกิดขึ้น

หนังได้หักมุมจากการเป็นหนัง Comedy มาเป็น Drama ก็ในช่วงที่เฉลยออกมาว่าน้องสวยของเราเป็นเนื้องอกในสมอง หนังดำเนินและก็จบลงตามสูตร พระเอกและนางเอกได้อยู่ด้วยกัน แต่ด้วยวิธีไหนเหรอครับ ไม่อยากเฉลยไปดูกันเอาเองครับ

สำหรับดาราสมทบคนอื่นๆ สำหรับผม ผมให้คะแนนเต็มสิบกับดาราตลกทั้ง 4 ท่านที่เข้ามาเสริมให้หนังเรื่องนี้ฮาแบบสุดยอด โดยเฉพาะ ค่อม ชวนชื่น และ โก๊ะตี๋ ทำได้ดีเกินคาดครับ ฮามาก ส่วนอีกสองคนคือ จตุรงค์ และ จิ๋ม ชวนชื่น ก็ทำได้ดีในระดับที่ผ่านครับ

สิ่งที่ชอบสำหรับเรื่องนี้คือตัวสวยครับ วีเจจ๋า ทำได้ดีจนเราอดหลงรักตัวละครตัวนี้ไม่ได้ โดยเฉพาะฉากที่เต้นแล้วอัดในกล้องถ่ายวีดีโอให้นายสนิทดูเพื่อให้กำลังใจ ทำได้น่ารักมากๆครับ อีกส่วนนึงที่ชอบคือสิทธิ์และสองที่รับบทโดยค่อม และโก๊ะตี๋ทำให้หนังมีสีสันมากขึ้นอีกเยอะเลยครับ

อีกจุดนึงที่ชอบคือ ตอนสรุปช่วงสุดท้ายที่นายสนิทของเราสรุปว่าทุกคนมีสิทธิ์จะฝันและอยากจะเป็น แต่เราต้องหันมามองดูความเป็นจริงรอบๆ ตัวเราด้วยว่าเราอยู่ตรงไหน และที่ไหนที่เราควรจะไปครับ

โดยรวมแล้วเป็นหนังที่สร้างความบันเทิงได้ในระดับนึงเลยทีเดียว เหมาะที่จะดูในวันพักผ่อนครับ ที่สำคัญเรียกรอยยิ้มของน้องคนนั้นได้เยอะเลยครับ

Saturday, November 25, 2006

A Millionnaire's First Love



ก่อนที่จะเริ่มดูหนังเรื่องนี้ ผมมองว่าหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นมุมมองใสๆสนุกๆของลูกคนรวยที่มาเจอรักแท้อะไรประมาณนั้น แต่พอดูจนจบความคิดผมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คิดว่าเป็นหนังที่ดีและน่าสะสมเรื่องนึงเลยทีเดียว

เหมือนกับหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาผม Load A Millionaire's Fisrt Love มาจากบิทครับจากข้อมูลที่หามาคร่าวๆ เรื่องนี้ยังไม่ได้เข้าฉายในเมืองไทย ณ ตอนที่ผมเขียนอยู่นี่ใครอยากดูคงต้องหาเป็นแผ่นมาดูเอาเองนะครับ

เรื่องราวว่าด้วยหนุ่มทายาทมหาเศรษฐีสุดซ่า ที่รอรับมรดกจากคุณปู่ แต่การรับมรดกมีเงื่อนว่าเค๊าจะต้องไปเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมแห่งหนี่งซึ่งอยู่ในชนบท(ซึ่งทราบตอนหลังว่าคือบ้านเกิดของเค๊า)โดยมีเงื่อนไขเพิ่มเติมว่าถ้าต้องการจะสละสิทธิ์การรับมรดกเค๊าจะได้รับเงินเพียง 0.1% ของจำนวนเงินทั้งหมด ซึ่งพระเอกของเราต้องจำใจไปเพื่อทำตามเงื่อนไขเพื่อให้ได้รับมรดก นั่นเองเป็นที่มาของเรื่องวุ่นๆ ที่ตอนหลังๆจะไปทางโรแมนติกของหนังเรื่องนี้

การไปทำตามเงื่อนไขในการที่จะรับมรดกทำให้เจ้าหนุ่มสุดซ่าของเราพบกับสาวชนบทนิสัยดีขยันทำงาน เรื่องราวของทั้งสองคนเริ่มสานสัมพันธ์ลงลึกไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายทั้งคู่ก็รักกัน แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับทั้งสองคน เมื่อนางเอกของเราดันเป็นโรคหัวใจที่ไม่มีทางรักษา เรื่องราวรักโรแมนติกสุดแสนจะเศร้าจึงเกิดขึ้น

ส่วนที่ผมประทับใจมีหลายๆ ส่วนในหนังเรื่องนี้แต่ที่ประทับใจมากที่สุด น่าจะเป็นตอนที่นางเอกคุยกับพ่อบุญธรรมของเธอว่า ถ้าเธอไปรักกับพระเอกของเรา ถึงมันจะทำให้เธอมีความสุข แต่มันจะทำให้เค๊าเจ็บปวดเมื่อเธอจากไป พ่อของเธอตอบกลับมาว่า "จงอย่ากลัวที่จะมีความสุข" กินใจผมมากครับสำหรับฉากนี้

อีกส่วนเป็นตอนที่พระเอกของเราไปเดินเล่นกับเพื่อน ประมาณว่าไปตลาดนัดบ้านเรานี่แหละครับ มันต้องการสื่อให้เห็นชีวิตในเมืองเล็กๆที่ไม่วุ่นวายและพอเพียง การที่พระเอกซื้อเสื้อให้เพื่อนและให้เงินเพื่อนไปทานข้าว 10 เหรียญทำให้เพื่อนๆ ของเค๊ามีความสุขได้ มันแสดงให้เห็นว่าในบางที่ค่าของเงินไม่ได้มีความสำคัญเสมอไป จุดนี้เราน่าจะหันกลับมามองกันมากๆ เพราะผมรู้สึกว่าเรากลายเป็นทาสของเงิน และกลายเป็นสัตว์สังคมในเมืองใหญ่กันไปหมดแล้วครับ เราน่าหันกลับมามองถึงจุดดีๆ และมองกันที่จิตใจให้มากขึ้นครับ

อีกจุดนึงน่าจะเป็นการแสดงระหว่างพระเอกและนางเอกคู่นี้ ผมว่าทำได้เนียนมาก จนทำให้เชื่อว่าทั้งสองคนรักกันจริงๆ เล่นเอาผมน้ำตาไหลเลยครับ

โดยรวมหนังเรื่องนี้ทำได้ดี ในความคิดของผม เหมาะกับคนที่ต้องการแรงใจในการเปลี่ยนแปลงอะไรซักอย่างในชีวิต ดูแล้วทำให้เรามองโลกสดใสขึ้นอีกเยอะครับ(แม้ว่าจะดูแล้วเศร้าๆ ในช่วงหลังๆครับ)

Wednesday, November 22, 2006

Mission Impossible 3



เห็นหลายๆ วันที่ผ่านมาผมเขียนถึงแต่หนังที่เป็นแนวรักๆ หลายคนอาจจะคิดว่าผมดูหนังไม่ค่อยเหมาะกับหน้า วันนี้เลยถือโอกาสเปลี่ยนแนวซะหน่อยพอดีเพิ่งโหลดหนังเรื่องนี้จาก bit เสร็จพอดีเลยเอาก็อปใส่แผ่นลงเอามาดูบนจอใหญ่ซะเลย

Mission Impossible หนังภาคต่ออีกเรื่องที่สร้างออกมาในยุคที่หนังภาคต่อกำลังเป็นที่นิยม โดยมีนักแสดงนำเป็นสุดหล่อ ทอม ครูซ ของสาวๆครับ เนื้องเรื่องคงไม่ต้องพูดถึงมากเป็นเรื่องของสายลับในหน่อย MI ที่ต้องปฎิบัติภาระกิจต่างตามที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ

สำหรับผม MI ทั้ง 3 ภาค ภาคแรกเป็นภาคที่คมคายมากที่สุด ภาคสองผมออกจะเฉยๆ แต่สำหรับภาคสามนี่ขอบอกว่ามันส์ครับ ทำให้เราดูได้สนุกไปกับหนังได้ไม่ยาก

สำหรับภาคนี้เป็น drama Action ที่ทำได้ถึงอารมณ์ผมมากกว่าภาค 2 ครับ ในช่วงแรกได้ปูเรื่องระหว่างความรักของอีธานละจูลล์ได้อย่างหนักแน่นจนทำให้ผมเชื่อว่าทั้งสองคนรักเป็นคนที่รักกันจริงๆ ทำให้ในส่วนต่อมาซึ่งเป็นส่วนที่อีธานต้องตามไปช่วยเธอดูสมจริงมากขึ้น สำหรับบทอีธานที่ทอม ครูซแสดงนี้ผมว่าทำได้ดีกว่าในภาคสองมาก โดยเพราะฉากที่ต้องแสดงออกทางแววตาหรือสีหน้า ครูซ สามารถทำให้ผมเชื่อได้จริงๆครับ ขอยกนิ้วให้ ทอม ครูซ สำหรับเรื่องนี้

สำหรับฉาก Action ต่างๆ ทำได้ดีครับ ไม่ขัดตา ออกจะทำให้เราลุ้นตามไปด้วยได้สบายๆ เลยครับ

จะมีจุดขัดๆ หน่อยก็เป็นช่วงใกล้จบที่อีธานของเราถูกปั๊มหัวใจให้กลับขึ้นมา มุขช่วงนี้ออกจะเดิมๆ ไปนิด แต่ก็พอยอมรับได้ครับ

เกือบลืมที่สำคัญภาคนี้ได้ Philip Seymour มาสวมบทเดเวียนวายร้ายจอมโหด ยอมรับนายนี่เล่นได้นิ่งมากจนทำให้เชื่อเหมือนกันว่าเค๊าโหดจริงๆครับ และยังได้ Laurence Fishburne ที่เรารู้จักกันดีจาก Matrix ทั้ง 3 ภาค มาเสริมด้วยถึงไม่ค่อยมีบทบาทซักเท่าไหร่ แต่ก็ทำให้หนังเรื่องนี้น่าดูขึ้นเยอะครับ

โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ควรจะหาโอกาสดูในวันว่างครับ สนุก ตื่นเต้น และดราม่า ครบรสครับสำหรับเรื่องนี้

Tuesday, November 21, 2006

Sex is Zero (ปี๊ด ปี้ ปี๊ด ยกก๊วนปิ๊งสาว)



หนังเรื่องนี้น้อยคนที่แฟนหนังเกาหลีจะไม่รู้จัก Sex is Zero ผมว่าเหมือนจะเป็น American Pies ภาคเกาหลีเลยล่ะครับ ตัวหนัง แฝงไปด้วยความทะลึ่งตึงตังที่ออกจากมากในระดับนึง แต่ก็มากในระดับที่พอยอมรับได้ครับ ทำให้เราฮาได้เกือบตลอดเรื่องเลยครับ และที่สำคัญได้นางเอกสุดเซ็กซี่ ฮา จี วอน มาแสดงในเรื่องทำเอาหนุ่มๆ แบบเราเคลิ้มไปเลยครับ

เรื่องราวของหนังว่าด้วยสาวนักเต้นสุดสวยของผมชมรมในมหาลัยกับเจ้าหนุ่มสุดเฉิ่มที่อยู่ชมรมอะไรก็ไม่รู้ ผมคาดว่าน่าจะเป็นศิลปะการป้องกันตัวอะไรซักอย่าง (เป็นศิลปะการป้องกันตัวที่ฮามากครับ)หนุ่มสุดเฉิ่มของเราดันไปหลงรักเธอซึ่งเหมือนกับดอกฟ้า ส่วนดอกฟ้าของเรามีเหรอจะสนใจหนุ่มสุดเฉิ่มได้ เธอสนใจนักกีฬาว่ายน้ำสุดหล่อ และสุดท้ายก็มีอะไรกันจนเกิดตั้งท้อง แต่เจ้าหนุ่มนักกีฬากลับเลิกกับเธอแล้วไปหาแฟนเก่าเอาดื้อๆ นั่นแหละครับเป็นปมของหนังเรื่องนี้ และเป็นจุดที่ทำให้เจ้าเฉิ่มของเราสามารถเอาชนะใจเธอได้ครับ

สำหรับเรื่องนี้มีจุดที่ประทับใจผมหลายๆจุด เรื่องแรกน่าจะเป็นความฮาของเรื่องที่ทำให้เราได้สนุกตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้ ถัดมาน่าจะเป็นตัวนางเอกที่สุดแสนจะน่ารักและเซ็กซี่ที่ทำให้เราหลงรักได้ไม่ยาก พระเอกของเราก็เล่นได้ไม่เลวถือว่าชนะใจผมเลยครับ

ฉากที่ประทับใจของผมมีอยู่ 2 ฉากในเรื่องคือฉากที่นายเฉิ่มของเราพยายามที่จะทำให้นางเอกหายเศร้าขณะที่เธอพักฟื้นอยู่ที่ห้องพัก เป็นฉากที่ได้ใจผมมาก นางเอกของเราดูนายเฉิ่มแสดงอะไรต่างที่ค่อนข้างบ้าๆบอๆ และสุดท้ายเธอก็ร้องไห้ ผมคิดว่าความรู้สึกของนางเอกในขณะนั้นน่าจะคิดอยู่ 2 อย่าง คือ ทำไมไม่รักคนคนนี้กับทำไมคนคนนี้ถึงได้ดีกับเราขนาดนี้

อีกฉากเป็นฉากที่นางเอกฝืนไปแข่งเต้นทั้งที่ยังไม่หายจากการทำแท้ง และพระเอกของเราพยายามจะเข้าไปห้ามแต่ถูกการ์ดห้ามไว้เพราะกลัวทำลายการแสดง พระเอกของเราพยายามที่จเข้าไปทั้งน้ำตา นายเฉิ่มของเราทำได้ดีสำหรับฉากนี้ครับ

ข้อสรุปจากหนังที่ได้ก็น่าจะเป็นตามชื่ออ่ะครับ Sex is Zero ครับ ถ้าปราศจากความรัก

Monday, November 20, 2006

Eternal Sunshine of the Spotless Mind (ลบเธอ...ให้ไม่ลืม)



ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีที่สุดของ Jim Carrey จากที่ผมได้ดูผมก็คงต้องลงความเห็นเดียวกันครับ เพราะในเรื่องเค๊าทำได้ดีเหลือหลายครับ และไม่ใช่ตลกหน้าทะเล้นแบบที่เคยเห็นๆกันมา ทำให้ผมเชื่อได้ในระดับนึงเลยครับ ส่วนนางเอกของเรา Kate Winslet ก็ทำได้ดีในระดับผ่านครับในบทสาวที่ค่อนข้างจะไปทางพั๊งค์ๆ หน่อยตามแนวสมัยใหม่ครับ

เรื่องราวว่าด้วยการที่คนสองคนที่พบรักกันมาแล้วพออยู่ๆ ไปก็เริ่มเบื่อซึ่งกันและกันเลยพยายามที่จะหาทางลบอีกฝ่ายออกจากความทรงจำ โดยผ่ายนางเอกเป็นคนเริ่มก่อน พระเอกของเรามีเหรอที่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว แต่เมื่อตัดสินใจจะทำการลบความทรงจำพระเอกของเราก็ระลึกได้ว่า เธอคนนั้นมีค่ามากเพียงไหนสำหรับเค๊า และพยายามหนีการลบความทรงจำอยู่ในความคิดของเขา แต่สุดท้ายพระเอกของเราก็ไม่สามารถหนีได้สำเร็จครับ สำหรับเรื่องการลบความทรงจำนี่แหละที่ทำให้หนังเรื่องนี้แปลกออกไปจากเรื่องอื่นๆ ทำได้ดีพอสมควรครับ สำหรับจุดนี้

ในเรื่องมีตัวละครอื่นๆ เข้ามาทำให้เรื่องมีจุดหักมุมเพิ่มขึ้น ทำให้หนังมีเนื่อมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะ Kirsten Dunst ทำให้เราได้มองความรักในอีกแบบนึงดีครับ เป็นแบบที่ว่าเราที่เราจะรักไม่ว่าให้เริ่มใหม่อีกกี่ครั้งเราก็จะรักคนนี้ครับ

แต่มันก็มีส่วนที่ออกจะเกินๆไปนิด คือในช่วงที่ตัวละครกำลังลบความทรงจำของพระเอกอยู่ ฉากการเล่นและการก่อกวนต่างๆ มันออกจะเกินจริงไปนิดๆ ครับ ดูแล้วก็ขัดๆ พอสมควร

ฉากที่ผมประทับใจน่าจะเป็นการกลับมาเจอกันของพระเอกและนางเอกหลังจากที่ทั้งคู่ต่างถูกลบความทรงจำไปแล้ว ทั้งคู่ก็เกิดปิ๊งกันทันทีทั้งๆ ที่ต่างก็จำกันไม่ได้ มันทำให้เราเห็นว่าความรักเหมือนเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้ ยังไงก็มักจะวนกลับมาหาจุดที่มันต้องการ หรือที่เค๊าเรียกกันว่า พรหมลิขิต นั่นแหละครับ

อีกส่วนที่ชอบก็คือตอนที่ต่างก็รู้ว่าต่างคนได้ทำการลบความทรงจำถึงอีกฝ่ายมา ซึ่งทั้งสองได้ฟังจากเทปที่ผ่ายนึงพูดถึงอีกฝ่ายนึงในสิ่งที่ไม่ดีของอีกฝ่ายก่อนที่จะทำการลบความทรงจำ และสุดท้ายนางเอกก็เดินหนีออกมาและพระเอกของเราก็เดินตามออกมาและคุยกันในเรื่องไม่ต้องการให้อีกั่งนึงคาดหวังในสิ่งที่ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง เพราะสุดท้ายวันนึงก็จะพบว่ามันไม่ใช่ สำหรับผมมันเหมือนการที่คนสองคนที่คบกันมานานมานั่งทำความเข้าใจในเรื่องที่อีกฝ่ายมองตนเองและทำความเข้าใจกับมัน ผมว่ามันดีและสวยงามที่คู่รักควรกระทำต่อกันเพราะสุดท้ายมันน่าจะจบด้วยคำว่า OK เหมือนในหนังครับ

April Story (เพียงเพื่อรอพบหัวใจเรา)



ผมคิดว่ายังไงใน blog ของผมก็จะต้องเขียนถึงหนังของ Shunji Iwai ผู้กำกับชาวญี่ปุ่นคนนี้ทำหนังได้ดีในแนวโรแมนติกแบบนี้ครับ โดยอีกสองเรื่องที่ผมดูคือ All About Lilly Chou-Chou และ Hana and Alice จะกล่าวถึงในลำดับต่อไป

ในหนังเรื่องนี้กล่าวถึงเด็กสาวจากชนบทที่มีจิตใจแน่วแน่เข้ามาตามหาความรักในเมืองใหญ่เป็นรูปแบบความรักที่สวยงามเป็นหนังสั้นๆที่ดูแล้วจบแบบที่เราไม่รู้ตัวเท่าไหร่ ตัวหนังสวยงามแบบเรียบๆ ดูแล้วเหงาๆ นิดๆ

ตัวนางเอกแสดงได้ดีในความใสซื่อและมองโลกในแง่ดีของเธอ ดีครับดูแล้วทำให้มองโลกสดใสขึ้นอีกเยอะครับ

Proof (พิสูจน์รัก)



เห็นปกหนังเรื่องนี้ก็แทบจะไม่ต้องคิดอะไรแล้ว หยิบได้เลยครับ ดาราแต่ละคนดึงดูดทั้งนั้น Gwyneth Paltrow, Ahthony Hopkins, Jake Gyllenhaal สามคนนี้ มาแสดงในเรื่องเดียวกัน น่าจะเพียงพอให้เราหยิบ DVD แผ่นนี้มาจากร้านได้ไม่ยากครับ

เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยลูกสาวของนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะที่ความอัจฉริยะของเธอไม่ได้น้อยกว่าพ่อของเธอเลยมาพบรักและหนุ่มนักศึกษาปริญญาเอกที่เป็นลูกศิษฐ์ของพ่อของเธอหลังจากพ่อของเธอเสียชีวิตด้วยโรคชราและโรคทางสมอง และได้พบสมุดเริ่มหนึ่งซึ่งเป็นบทพิสูจน์ (Proof) ทางคณิตศาสตร์ที่ไม่เคยมีใครคิดได้มาก่อน ซึ่งทางนางเอกของเรายืนยันว่าเธอเป็นคนเขียนขึ้นมาเอง แต่ทางพระเอกของเราก็ยังไม่เชื่อในตอนแรก ต้องการหาข้อพิสูจน์ (Proof) และท้ายที่สุดบทพิสูจน์จะเป็นเช่นไร ต้องติดตามครับ

ในตัวหนังจะตัดไปตัดมาระหว่างเรื่องราวปัจจุบันและเรื่องราวในอดีตระหว่างนางเอกกับพ่อของเธอ ซึ่งมีฉากให้ประทับใจและสะเทือนใจหลายฉากโดยเฉพาะฉากไคลน์แมกของเรื่อง ที่เธอเอาบทพิสูจน์ของเธอมาให้พ่อเธอดูและพ่อของเธอก็ทำบทพิสูจน์สำเร็จเหมือนกันแต่ว่าบทพิสูจน์ของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรต้องติดตามดูเอาเองครับ รับรองดูแล้วต้องน้ำตาซึมแน่นอนครับ

ผมว่าหนังต้องการเล่นกับคำว่า Proof ที่แปลว่าพิสูจน์ ไม่ว่าจะเป็น พิสูจน์สูตรทางคณิตศาสตร์หรือพิสูจน์ใจของเธอและเขา เป็นอีกแนวของหนังที่น่าสนใจครับ

Prime (ขอรักแหววให้ฉ่ำหัวใจ)



หนังเรื่องนี้ได้ Uma Thurman มาเป็นตัวดึงดูดซึ่งเป็นเหตุผลที่ผมสนใจที่จะหยิบหนังเรื่องนี้มาดู ประจวบกับทางแมงป่องลดราคาเหลือ 99 บาท ถือว่าเป็น DVD ราคาประหยัดที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งครับ

เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสาวใหญ่อายุ 37 ที่เพิ่งหย่ากับสามีมาหลุมรักกับหนุ่มหล่ออายุ 23 ปี โดยเธอมักจะไปปรึกษากับจิตแพทย์ส่วนตัว แต่โชคชะตาดันเล่นตลกเมื่อจิตแพทย์ดันไปเป็นแม่ของหนุ่มหล่อคนนั้น เรื่องราวสุดฮาต่างๆ จึงเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเหมาะสมเรื่องเชื้อชาติ และอายุ ในหนังมีการหยอดมุขเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ตลอดครับ

Highlight ของหนังเรื่องนี้น่าจะอยู่ตอนท้ายๆ เรื่องช่วงที่นางเอกตัดใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนุ่มหล่อรุ่นน้อง เป็นอะไรที่น่าสนใจเหมือนกันสำหรับมุมมองความรักในแง่นี้

ฉากประทับใจของผมในเรื่องนี้คือฉากจบครับ เมื่อทั้งสองต่างแยกกันไปและเมื่อเวลาผ่านไป ทั้งสองกลับมาเจอกัน ไม่มีอะไรจะดีไปกว่ารอยยิ้มและแววตาครับ Uma Thurman ทำได้ดีมากในฉากนี้

สรุปว่า Prime เป็นหนังที่ดูง่ายสบายๆ เรื่อยๆ ไม่วูบวาบมีมุขเรียกเสียงหัวเราะของเราได้เรื่อยๆ ลองหามาดูกันนะครับ

ในความเห็นของผม Prime น่าจะหมายถึงช่วงที่ดีที่สุดในชีวิตครับ

Sunday, November 19, 2006

True Romance (Romance of Their Own)



หนังเรื่องนี้ผมได้ดูมานานพอสมควร ตัวเรื่องเกี่ยวกับรัก 3 เส้าของสองชาย หนึ่งหญิง โดยที่ฝ่ายหญิงอายุมากกว่าทั้งสองคนและยิ่งไปกว่านั้น 1 ใน 2 นั้นเป็นน้องชายแท้ๆ(พ่อเดียวกันคนละแม่) ของเธอ ฟังแค่นี่ก็น่าปวดหัวแล้วใช่ไหมครับ

ท้ายที่สุดโชคชะตาก็เล่นตลกให้คุณน้องชายเกิดเป็นโคลิ้นหัวใจรั่วเอาซะอีก คงไม่ต้องบอกว่าตอนท้ายจะ Drama กันขนาดไหน

หนังเปิดตัวทำได้ค่อนข้างดี ดูเพลินมากๆ ในช่วงแรกหนังสนุกมากค่อนไปทาง Action เล็กน้อย เหมือนได้ดู Vocalno High อีกครั้ง (ผู้กำกับคนเดียวกัน)ในส่วนช่วงกลางๆ และท้ายๆ จะออกแนว Drama ตามสไตล์หนังเกาหลีครับ

ดาราทั้ง 3 คนที่เล่นทำได้ดีครับ ตัวนางเอกถึงจะไม่สวยเลิศเพอเฟค แต่ก็ทำให้เราหลงรักเธอได้ไม่อยาก ส่วนพระเอกทั้งสองคนไม่ต้องห่วงครับเท่ห์มากๆ ครับ

ช่วงท้ายของหนังจะมีส่วนที่น่าจะเป็นส่วนที่ผมชอบมากๆ ไม่อยากเอามาเล่ากลัวไป spoil คนที่ยังไม่ได้ดู โดยรวมหนังในตอนท้ายทำให้เรามองเห็นความรักสวยงาม ความรักคือการเสียสละ และเห็นคนที่เรารักมีความสุข หนังน่าจะต้องการสื่อออกมาอย่างนั้นครับ

สรุปว่าหนังเรื่องนี้สมควรดูเพราะให้ความบันเทิงด้วยประการทั้งปวงทำให้เรา สุข เศร้า เหงา รัก ได้ในเรื่องเดียวครับ เท่ห์มากๆครับ แนะนำให้หามาดูโดยด่วนครับถ้าหากว่ายังไม่ได้ดู

Loveaholic (โครตรักเอ็งเลย)



เรื่องราวของ รงค์และแดง คนสองคนที่มีชีวิตคู่ร่วมกันมานาน และสิ่งดีๆที่เคยมองเห็นจากกันและกันเริ่มเลือนหายไป จนกระทั่งเมื่อถึงวันที่อีกคนจากไปจึงทำให้เข้าใจว่า อีกครึ่งหนึ่งของชีวิตของเราสำคัญแค่ไหน และเราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรเมื่อไม่มีใครคนนั้น

โดยความรู้สึกของผมมองว่าหนังสามารถเล่าเรื่องได้ดี แม้ว่าจะมีการหักมุมไปมาบ้างแต่ก็ไม่ทำให้หนังเสียความเป็นหนังรัก ถึงแม้ว่าเนิ้อเรื่องอาจจะไม่หนักแน่นเท่าที่ควร แต่ก็พอให้อภัยได้จากส่วนเสริมอื่นๆโดยเฉพาะเพลงประกอบภาพยนต์

เพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เพราะเป็นเพลงที่คุณพิง ลำพระเพลิง เขียน และร้องเอง เข้าใจว่าแต่งเพื่อนภรรยาของเขาที่เสียชีวิตไป ยกนิ้วให้ครับสำหรับเพลงนี้ ใครสนใจอยากฟังหาฟังได้ที่ http://www.loveaholicmovie.com/

อีกอย่างที่ผมชอบมากๆ จากหนังเรื่องนี้คือ นางเอกครับ คุณไหม วิสา สารสาส อาจเป็นความชอบส่วนตัวของผมครับ ผมว่าเธอเล่นได้น่ารักมาก รอยยิ้มของเธอทำให้เห็นความรักออกจากตัวของแดงในหนังครับ

ถ้าไม่กล่าวถึงฉากประทับใจในหนังคงจะไม่ใช่ตัวผมเพราะผมมักจะเลือกฉากประทับใจในหนังแต่ละเรื่องที่ผมดูเสมอๆ สำหรับเรื่องนี้คงเป็นตอนใกล้จะจบหลังจากที่ทั้งสองคนผ่านเรื่องที่ยากลำบากมาด้วยกัน ที่นายรงค์เดินหันหลังกลับมาบอกแดกว่า "ตัวเอง เค๊าโครตรักตัวเองเลย" ทางฝั่งนางเอกแดง ก็กวักมือเรียกรงค์เข้าไปกอดและน้ำตาไหล เป็นฉากที่ทำให้ผมอินมาก มันสื่อได้ถึงความรักของคนสองคนจริงๆครับ

Sad Movie (อีกนิยามรัก)



ความรักของเราคงมีทางให้เลือกอยู่แค่สองทางคือ สมหวัง หรือ ผิดหวัง ในหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สื่อถึงความรักในแง่ของความผิดหวัง ซึ่งจริงๆ จะว่าผิดหวังซะเลยทีเดียวก็ควไม่ใช่ เรียกว่าเป็นรักที่ไม่สมหวังดีกว่าหรือเป็นรักที่เต็มไปด้วยความพลัดพรากน่าจะดีกว่าครับ

ในตัวหนังจะกล่าวถึงความรัก 4 แบบโดยแต่ละแบบมีรูปแบบของตัวเอง

I love you หนุ่มพนักงานกับเพลิงกับสาวนักข่าวที่รอคอยว่าเมื่อไหร่ แฟนหนุ่มจะขอเธอแต่งงานเสียที

I understand หนุ่มที่มีงานสุดแสนจะแปลกคือการเป็นนักบอกเลิก แทนคู่รักที่ต้องการบอกเลิกกัน และแฟนสาวพนักงานซุปเปอร์มาเก็ต

I'm sorry เด็กชายผู้ที่ต้องการความรักจากแม่ และคุณแม่ที่ทำงานหนักเพื่อลูก

Thanks สาวผู้เป็นใบ้ที่ซ่อนรอยบาดแผลเป็นที่ใบหน้าที่หลงรักหนุ่มจิตรกรสุดหล่อ

ทุกแบบของความรักมีจุดจบที่แตกต่างกันไป แต่มันก็เป็นไปตามความเป็นจริงของชีวิตที่บางครั้งเราไม่สามารถจะควบคุมทุกอย่างที่ผ่านเข้ามารอบตัวเราได้ สิ่งที่เราควบคุมได้ดีที่สุด น่าจะเป็นหัวใจของเราเองครับ

สำหรับสิ่งที่ผมชอบในหนังเรื่องนี้คือ การเสนอมุมมองของความรักในมุมที่ต่างจากหนังทั่วๆไป โดยส่วนตัวผมว่ามันค่อนข้างจะ "จริง" มากๆสำหรับเนื่อหาของหนัง และหนังก็นำเสนอได้ดีในแง่ของอารมณ์ละทำให้เราคล้อยตามได้ไม่ยาก โดยเฉพาะฉากไคลน์แมก ของแต่ละคู่เล่นเอาบ่อน้ำตานองเหมือนกันครับ

สำหรับจุดที่ผมชอบที่สุดของเรื่องนี้น่าจะเป็นฉากการบอกเลิกของนักบอกเลิกแทนคู่รัก ที่ต้องมาเจอกับตัวเอง (นายเจี๋ยมเจี้ยมของเรานี่เอง) มันดูแล้วอินอย่างบอกไม่ถูกครับ เป็นอีกเรื่องที่น่าจะมีติดกรุไว้ที่บ้านครับ สำหรับเรื่องนี้

Love Phobia (ลิขิตรัก มิเคยลืม)



การรอคอยและการพลัดพรากเป็นสิ่งที่เราได้พบเสมอเมื่อเรามีความรัก แต่ถึงกระนั้นความรักก็ยังเป็นสิ่งที่สวยงามและมีค่าควรจดจำเสมอ นั่นน่าจะเป็น theme ของหนังเรื่องนี้ที่ต้องการสื่อให้เราได้รับรู้ครับ

Theme ของเรื่องมีอยู่ว่าพระเอกและนางเอกเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กแล้วพระเอกของเราก็ดันตกหลุมรักนางเอกของเรา แล้วมีเหตุให้จากกันหลายครั้งโดยมีสาเหตุมาจากนางเอกของเราที่อยู่ๆ ก็หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้คุณพระเอกของเราต้องรอแล้วรอเล่า ส่วนที่ว่านางเอกของเราหายไปไหนบ่อย หายไปเพราะอะไรต้องลองไปหามาดูเอาเองครับ

ในส่วนของหนังเรื่องนี้ถือว่าเป็นหนังที่บ่งบอกถึงความทรมานในการรอคอยใครซักคน ที่คุณจะเห็นได้ในหลายๆ ฉาก การรอคอยใครสักคนด้วยหัวใจมันอาจจะทำให้เรารู้สึกว่าการรอคอยมันยาวนานแต่มันก็คุ้มค่าที่จะรอ โดยเฉพาะฉากที่ติดตาผมมากที่สุดคือฉากที่นางเอกของเราที่หายไป 8 ปี อยู่ๆก็โผล่มา พระเอกของเราที่ตั้งตารอมาตลอดก็เอาเชือกรองเท้ามามัดขานางเอกไว้กับเก้าอี้และขอให้รอเค๊าอย่าจากไปไหนจนกว่าเค๊าจะมาหา ฉากนี้ทำได้โรแมนติกมากในความรู้สึกผม พระเอกของเราแสดงได้ถึงมากครับฉากนี้ผมขอยกนิ้วให้

สำหรับหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีที่สุดที่ผมเคยดู แต่ผมก็คิดว่าคุ้มค่าในการที่จะหามาดูทำให้เราได้เห็นความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง ได้เห็นว่าคนบางคนมีความมั่นคงในการรอคอยแค่ไหน และที่สำคัญทำให้เห็นว่าความรักสวยงามเสมอครับ